รู้จักประกันแบบ Co-payment

รู้จักประกันแบบ Co-payment

รู้จักประกันแบบ Co-payment: จ่ายร่วมแบบนี้ ดีจริงไหม? มาไขข้อข้องใจกัน!

เคยได้ยินคำว่า “Co-payment” ในกรมธรรม์ประกันสุขภาพกันบ้างไหม? หลายคนอาจจะงงๆ ว่ามันคืออะไร ทำไมต้องจ่ายร่วม แล้วมันต่างจากประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายทั่วไปยังไง? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ อธิบายแบบบ้านๆ ให้เข้าใจกันว่า ประกันแบบ Co-payment คืออะไร เหมาะกับใคร และมีข้อดีข้อเสียยังไงบ้าง อ่านจบรับรองว่าคุณจะเข้าใจประกันแบบนี้มากขึ้น และตัดสินใจได้ว่ามันเหมาะกับคุณหรือไม่!

Co-payment คืออะไร? เข้าใจง่ายๆ ใน 1 นาที!

Co-payment แปลตรงตัวก็คือ “การจ่ายร่วม” พูดง่ายๆ ก็คือ การที่ผู้เอาประกัน (ก็คือเรานี่แหละ) ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนหนึ่งกับบริษัทประกัน ทุกครั้งที่เราไปใช้บริการ นึกภาพง่ายๆ เหมือนเวลาเราไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วแชร์ค่าอาหารกันนั่นแหละ เพียงแต่ในกรณีนี้ เราแชร์ค่ารักษากับบริษัทประกัน

แล้ว Co-payment ต่างจาก “เหมาจ่าย” ยังไง?

ประกันสุขภาพที่เราคุ้นเคยกันส่วนใหญ่จะเป็นแบบ “เหมาจ่าย” คือบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ตามวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เราแทบไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเองเลย (ยกเว้นจะมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่กรมธรรม์ไม่ครอบคลุม)

แต่ Co-payment ต่างออกไป เพราะเราต้อง “ร่วมจ่าย” ด้วยทุกครั้ง โดยสัดส่วนการจ่ายร่วมจะแตกต่างกันไปตามแผนประกัน เช่น:

  • Co-payment 20%: หมายความว่าเราต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง 20% ส่วนอีก 80% บริษัทประกันจะเป็นคนจ่าย
  • Co-payment 30%: เราจ่าย 30% บริษัทประกันจ่าย 70%
  • Co-payment 50%: เราจ่าย 50% บริษัทประกันจ่าย 50% แบบนี้ก็มีเหมือนกัน

ตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพ:

สมมติว่าคุณทำประกันแบบ Co-payment 20% แล้วเกิดป่วยต้องไปหาหมอ ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด 1,000 บาท คุณจะต้องจ่ายเอง 200 บาท (20% ของ 1,000) ส่วนอีก 800 บาท บริษัทประกันจะเป็นคนจ่าย

ทำไมต้องมี Co-payment? มันดียังไง?

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมต้องจ่ายร่วม ในเมื่อมีประกันแบบเหมาจ่ายอยู่แล้ว? จริงๆ แล้ว Co-payment ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน นั่นคือ:

  • เบี้ยประกันถูกกว่า: ข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ เบี้ยประกันของแผน Co-payment มักจะถูกกว่าแบบเหมาจ่าย เพราะบริษัทประกันแบกรับความเสี่ยงน้อยลง เนื่องจากเราต้องร่วมจ่ายค่ารักษาด้วย
  • เหมาะกับคนสุขภาพดี ไม่ค่อยป่วย: ถ้าคุณเป็นคนสุขภาพดี ไม่ค่อยเจ็บป่วย ไม่ค่อยได้ใช้ประกัน การเลือกแผน Co-payment ก็อาจจะคุ้มค่ากว่า เพราะจ่ายเบี้ยน้อยกว่า แต่ถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ก็ยังมีความคุ้มครองอยู่ เพียงแต่ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาด้วย
  • กระตุ้นให้คนใช้บริการอย่างรอบคอบ: เมื่อเรารู้ว่าต้องร่วมจ่ายค่ารักษา เราก็จะใช้บริการอย่างรอบคอบมากขึ้น ไม่ไปหาหมอพร่ำเพรื่อ ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบประกันสุขภาพโดยรวม

แล้ว Co-payment มีข้อเสียไหม?

แน่นอนว่าอะไรๆ ก็มีสองด้าน Co-payment ก็มีข้อเสียเหมือนกัน เช่น:

  • ต้องจ่ายเงินทุกครั้งที่ไปหาหมอ: ข้อเสียหลักๆ เลยคือ เราต้องควักกระเป๋าจ่ายเองทุกครั้งที่ไปหาหมอ แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่ถ้าป่วยบ่อยๆ ก็อาจกลายเป็นเงินก้อนโตได้
  • ไม่เหมาะกับคนที่มีโรคประจำตัว หรือเจ็บป่วยบ่อย: ถ้าคุณมีโรคประจำตัว หรือเจ็บป่วยบ่อย ต้องไปหาหมอเป็นประจำ การเลือกแผน Co-payment อาจจะไม่คุ้ม เพราะคุณต้องจ่ายค่ารักษาร่วมทุกครั้ง รวมๆ แล้วอาจจะมากกว่าเบี้ยประกันแบบเหมาจ่ายด้วยซ้ำ
  • คาดเดาค่าใช้จ่ายยาก: เนื่องจากเราต้องร่วมจ่ายค่ารักษา ทำให้ยากต่อการคาดเดาค่าใช้จ่ายล่วงหน้า อาจทำให้วางแผนการเงินลำบาก

Co-payment มีกี่แบบ?

ประกันแบบ Co-payment ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่สามารถแบ่งย่อยได้อีก ตามเงื่อนไขการจ่ายร่วม เช่น:

  • Co-payment แบบเปอร์เซ็นต์ (%): แบบนี้จะกำหนดสัดส่วนการจ่ายร่วมเป็นเปอร์เซ็นต์ อย่างที่อธิบายไปแล้วข้างต้น เช่น 20%, 30%, 50%
  • Co-payment แบบกำหนดจำนวนเงิน (Fix Amount): แบบนี้จะกำหนดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายร่วมไว้ชัดเจน เช่น ร่วมจ่ายครั้งละ 500 บาท ไม่ว่าค่ารักษาจะเท่าไหร่ก็ตาม ที่เหลือบริษัทประกันรับผิดชอบ
  • Co-payment แบบมีเพดาน (Capped Co-payment): แบบนี้จะกำหนดเพดานสูงสุดที่เราต้องจ่ายร่วม เช่น ร่วมจ่าย 20% แต่ไม่เกิน 10,000 บาทต่อปี หมายความว่า ถึงแม้ค่ารักษาจะสูงมาก เราก็จ่ายร่วมไม่เกิน 10,000 บาทต่อปี
  • Co-payment เฉพาะผู้ป่วยนอก (OPD): บางแผนประกันอาจกำหนดให้มี Co-payment เฉพาะกรณีผู้ป่วยนอก (OPD) ส่วนผู้ป่วยใน (IPD) อาจจะเหมาจ่าย หรือมีเงื่อนไขการจ่ายร่วมที่แตกต่างกัน

เลือก Co-payment ยังไงให้เหมาะกับตัวเอง?

การจะเลือกประกันแบบ Co-payment ให้เหมาะกับตัวเอง ต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น:

  • สุขภาพของคุณ: คุณเป็นคนสุขภาพดี หรือมีโรคประจำตัว? คุณเจ็บป่วยบ่อยแค่ไหน?
  • พฤติกรรมการใช้บริการ: คุณเป็นคนไปหาหมอบ่อยไหม? หรือคุณมักจะไปหาหมอเฉพาะตอนที่ป่วยหนักจริงๆ?
  • งบประมาณ: คุณสามารถจ่ายเบี้ยประกันได้เท่าไหร่? คุณมีเงินสำรองสำหรับจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนที่ต้องร่วมจ่ายหรือไม่?
  • ความคุ้มครอง: เปรียบเทียบความคุ้มครองของแต่ละแผนประกัน ดูว่าครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลอะไรบ้าง มีวงเงินเท่าไหร่ มีข้อยกเว้นอะไรบ้าง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Co-payment:

  • Q: Co-payment กับ Deductible เหมือนกันไหม? A: ไม่เหมือนกัน Deductible คือจำนวนเงิน “ก้อนแรก” ที่เราต้องจ่ายเองก่อนที่ประกันจะเริ่มทำงาน เช่น Deductible 5,000 บาท หมายความว่า ถ้าค่ารักษา 6,000 บาท เราต้องจ่ายเอง 5,000 บาท บริษัทประกันจ่าย 1,000 บาท แต่หลังจากนั้น บริษัทประกันจะคุ้มครองตามเงื่อนไข โดยที่เราไม่ต้องจ่าย Deductible อีก แต่ Co-payment คือการ “ร่วมจ่าย” ทุกครั้งที่ใช้บริการ
  • Q: ถ้ามีทั้ง Co-payment และ Deductible ต้องจ่ายยังไง? A: เราต้องจ่าย Deductible ก่อน แล้วค่อยคิด Co-payment จากส่วนที่เหลือ เช่น ค่ารักษา 10,000 บาท Deductible 2,000 บาท Co-payment 20% เราต้องจ่าย Deductible 2,000 บาท เหลือ 8,000 บาท จากนั้นคิด Co-payment 20% ของ 8,000 บาท คือ 1,600 บาท รวมแล้วเราต้องจ่าย 2,000 + 1,600 = 3,600 บาท
  • Q: Co-payment เคลมได้ไหม? A: ส่วนที่เราจ่าย Co-payment ไป ไม่สามารถนำมาเคลมคืนได้ เพราะถือเป็นส่วนที่เราตกลงจะร่วมจ่ายกับบริษัทประกันอยู่แล้ว
  • Q: เปลี่ยนจาก Co-payment เป็นเหมาจ่ายได้ไหม? A: ส่วนใหญ่สามารถเปลี่ยนได้ แต่อาจจะต้องรอครบรอบปีกรมธรรม์ และอาจต้องแถลงสุขภาพใหม่ ซึ่งอาจมีผลต่อการพิจารณารับประกัน และเบี้ยประกันอาจมีการเปลี่ยนแปลง

Co-payment ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือการวางแผนสุขภาพ!

การเลือกประกันสุขภาพไม่ใช่แค่การดูว่าเบี้ยถูกหรือแพง แต่ต้องดูว่าแผนประกันนั้นเหมาะกับไลฟ์สไตล์ และสุขภาพของเราหรือไม่ ประกันแบบ Co-payment อาจจะเหมาะกับคนสุขภาพดี ไม่ค่อยป่วย และต้องการประหยัดเบี้ยประกัน แต่ถ้าคุณมีโรคประจำตัว หรือเจ็บป่วยบ่อย การเลือกประกันแบบเหมาจ่ายอาจจะคุ้มค่ากว่า

อย่าลืมอ่านรายละเอียดกรมธรรม์อย่างละเอียด เปรียบเทียบความคุ้มครอง และเงื่อนไขการจ่ายร่วมของแต่ละแผนประกัน ก่อนตัดสินใจ เพราะการเลือกประกันสุขภาพที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณอุ่นใจ และไม่ต้องกังวลกับค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย

สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจประกันแบบ Co-payment มากขึ้น และสามารถตัดสินใจเลือกแผนประกันที่เหมาะกับตัวเองได้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม อย่าลังเลที่จะปรึกษาตัวแทนประกัน หรือบริษัทประกันโดยตรง เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม!

#พริมพร้อมดูแลคุณแลคนที่คุณรัก “คุ้มครอง อุ่นใจ ห่วงใยคุณ”

.

☎️ ช่องทางการติดต่อ

• Tel : 086 359 6693

• LINE OA: @primbroker

• Website: https://priminsurance.co.th

.

#Priminsurance#นายหน้าประกันชีวิต#นายหน้าประกันภัย

Share the Post: