หากพูดถึงเรื่องการทำประกันรถยนต์ คนส่วนใหญ่ก็คงจะนึกถึงความคุ้มครองด้านอุบัติเหตุ หรือคุ้มครองทรัพย์สินและชีวิตของคู่กรณีเป็นหลัก แต่ความเป็นจริงแล้ว “การเคลมสีรถ” ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ขับขี่หลายคนให้ความสนใจ เพราะสภาพสีของรถยนต์ไม่เพียงบ่งบอกถึงความใหม่และความสวยงามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกและความใส่ใจในการดูแลรถของเจ้าของรถอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม คำถามที่มักจะพบได้บ่อยก็คือ “ประกันรถยนต์ เคลมสีรอบคัน” ทำได้จริงหรือ? มีเงื่อนไขอะไรบ้าง? จำเป็นจะต้องมีรอยขีดข่วนรอบคัน หรือมีอุบัติเหตุครั้งใหญ่เท่านั้นหรือเปล่าจึงจะเคลมได้? บทความนี้จะขอพาทุกคนมาทำความเข้าใจเรื่องเคลมสีรถแบบรอบคันอย่างเจาะลึก ตั้งแต่ชนิดของประกัน เงื่อนไขหลักในการเคลม ไปจนถึงวิธีเตรียมตัวและตรวจสอบค่าใช้จ่าย เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่า
1. เคลมสีรอบคันคืออะไร?
“เคลมสีรอบคัน” หมายถึง การนำรถยนต์เข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อทำการซ่อมหรือพ่นสีรถใหม่ “ทั้งคัน” ไม่ว่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุที่มีรอยทั่วทั้งตัวถังรถ หรือมีการเฉี่ยวชนและส่งผลให้ตัวถังเกิดรอยขีดข่วนหลายจุดจนอาจจะต้องพ่นสีใหม่แบบจริงจัง การเคลมสีรอบคันจึงเป็นการซ่อมแซมและพ่นสีใหม่ทั้งคันให้กลับมาดูสวย เงางามเหมือนรถใหม่จากโชว์รูม
แต่แน่นอนว่าบริษัทประกันไม่ได้อนุมัติให้ “เคลมสีรอบคัน” กันได้ง่าย ๆ หากไม่มีเหตุผลรองรับหรือไม่มีความเสียหายที่เข้าข่ายความคุ้มครอง เพราะการเคลมสีรอบคันนั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง การพ่นสีรถทั้งคันราคามักอยู่ในหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถ คุณภาพสี และรายละเอียดอื่น ๆ) ดังนั้น หากเราจะเคลมสีรอบคัน ก็ควรจะเข้าใจเงื่อนไขของบริษัทประกันในแต่ละแผนกรมธรรม์ให้ชัดเจนก่อน
2. ประเภทของประกันรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลมสี
การเลือกซื้อประกันรถยนต์นั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่ชั้น 1, 2+, 3+, ไปจนถึงชั้น 3 ซึ่งขอบเขตความคุ้มครองก็ย่อมแตกต่างกันไป ใครที่คาดหวังจะใช้สิทธิ์ “ประกันรถยนต์ เคลมสีรอบคัน” จึงควรศึกษาให้ดีว่าประกันชั้นไหนครอบคลุมอะไรบ้าง โดยภาพรวมแล้วการเคลมสีรอบคันส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับประกันชั้น 1 เป็นหลัก เพราะมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด
- ประกันรถยนต์ชั้น 1
- คุ้มครองความเสียหายของรถเราและคู่กรณี รวมถึงชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลที่สาม
- คุ้มครองอุบัติเหตุจากการชนแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี (ในกรณีรถชนกำแพง ฟุตบาท หรือต้นไม้)
- คุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ (บางกรมธรรม์) ไฟไหม้ และสูญหาย
- ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+
- คุ้มครองความเสียหายจากการชนที่มีคู่กรณีเท่านั้น (ไม่ครอบคลุมกรณีชนสิ่งไม่มีชีวิต เช่น เสาไฟ ต้นไม้)
- อาจมีวงเงินคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถของเรา แต่ไม่ครอบคลุมเหตุบางอย่างเช่นประกันชั้น 1
- ประกันชั้น 3
- คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินคู่กรณีเป็นหลัก ไม่ครอบคลุมการซ่อมรถของผู้เอาประกัน
- ไม่ครอบคลุมการซ่อมสีรถของเราเอง หากเราเป็นฝ่ายผิดหรือไม่มีคู่กรณีชัดเจน
สรุปได้ว่า ถ้าอยากมีโอกาสเคลมสีรอบคันแบบสบายใจ ควรพิจารณาทำประกันชั้น 1 เพราะมีเงื่อนไขความคุ้มครองที่กว้างและให้ความอุ่นใจในด้านค่าใช้จ่ายมากที่สุด
3. กรณีไหนที่เคลมสีรอบคันได้ง่ายที่สุด?
หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้ามีรอยขีดข่วนเล็กน้อยรอบคัน สามารถเคลมแบบพ่นสีใหม่ทั้งคันได้ไหม?” คำตอบคือค่อนข้างยาก เว้นเสียแต่ว่าบริษัทประกันจะเห็นว่ารอยเสียหายนั้นเกิดจากเหตุการณ์เดียว หรือมีจำนวนรอยมากพอและกระจายไปทั่วตัวถัง ซึ่งอาจสรุปได้ว่าอาจจำเป็นต้องพ่นใหม่ทั้งคันจริง ๆ
กรณีที่เคลมสีรอบคันแล้วผ่านการอนุมัติง่าย ได้แก่
- อุบัติเหตุรุนแรงหรือมีการชนหลายจุด จนเกิดรอยทั่วตัวรถ เช่น ชนอย่างแรงด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง หรือรถพลิกคว่ำ
- รถถูกก่อกวนหรือถูกทำร้าย เช่น มีคนขูดสีรถ หรือมีการปาดสีรอบคันในเหตุการณ์เดียวกัน โดยสามารถแจ้งความและมีหลักฐานชัดเจน
- เหตุภัยธรรมชาติบางประเภท เช่น โดนลูกเห็บขนาดใหญ่ตกใส่หลายจุดจนสีถลอกเป็นวงกว้าง (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์)
อย่างไรก็ตาม หากเป็นเพียงรอยขีดข่วนหรือรอยกระแทกบางจุดซึ่งเกิดขึ้นคนละเหตุการณ์ เช่น ครูดกำแพงคราวนี้ ชนเสาไฟครั้งที่แล้ว ถูกขูดสีเมื่อเดือนก่อน รวบรวมกันได้รอบคันพอดี อย่างนี้จะไม่ถือว่า “เหตุการณ์เดียว” ส่วนใหญ่บริษัทประกันจะอนุมัติให้ซ่อมเฉพาะจุด ไม่ได้อนุญาตให้เคลมสีรอบคันในคราวเดียว
4. การเคลมสด vs. การเคลมแห้ง ต่างกันอย่างไร?
เมื่อพูดถึง “เคลมสีรอบคัน” ก็ต้องทำความเข้าใจศัพท์เบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการเคลมของประกันรถยนต์ ซึ่งมักแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ “เคลมสด” กับ “เคลมแห้ง” ดังนี้
- เคลมสด
- หมายถึง การเคลมที่เกิดขึ้นภายในทันที หรือใกล้เคียงเวลาที่เกิดเหตุ เช่น รถชนกันบนถนน แล้วมีการเรียกประกันมาตรวจสอบ พร้อมแจ้งเคลมต่อหน้าคู่กรณี
- มีการทำบันทึก ณ จุดเกิดเหตุ ชัดเจนว่าเป็นเหตุใด ใครเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายถูก มีการเก็บหลักฐานครบถ้วน
- เคลมแห้ง
- หมายถึง การเคลมที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ระยะเวลาหนึ่งวันขึ้นไป (หรือบางกรณีอาจนับเป็นชั่วโมง) ไม่มีการเรียกประกันมาตรวจสอบในที่เกิดเหตุ
- เจ้าของรถอาจเพิ่งสังเกตเห็นรอย หรือไม่มีคู่กรณี จึงไปแจ้งเคลมภายหลัง พร้อมแนบหลักฐาน เช่น ภาพกล้องวงจรปิด ใบแจ้งความ หรือรูปถ่าย
5. ขั้นตอนการเคลมสีรอบคัน ทำอย่างไร?
หากคุณมั่นใจว่ารถของคุณมีความเสียหายครอบคลุมเพียงพอ และเข้าเงื่อนไขที่จะเคลมสีรอบคันได้ ขั้นตอนการดำเนินการมีดังนี้
- แจ้งบริษัทประกัน
- หากเป็นเคลมสด ให้เรียกเจ้าหน้าที่ประกันมาดูหน้างานทันที
- หากเป็นเคลมแห้ง ให้โทรแจ้งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมอธิบายสาเหตุ วันเวลา และความเสียหายเบื้องต้น
- จัดเตรียมเอกสาร
- สำเนาบัตรประชาชน, สำเนากรมธรรม์ประกันรถยนต์, ใบขับขี่, หรือเอกสารอื่น ๆ ตามที่บริษัทกำหนด
- หากมีคู่กรณี ต้องมีสำเนาทะเบียนรถหรือรายละเอียดของคู่กรณีด้วย
- ถ้าเป็นกรณีรถถูกขูดหรือถูกก่อกวน ควรมีใบแจ้งความเป็นหลักฐานเสริม
- ทำบันทึกเคลมและประเมินความเสียหาย
- เจ้าหน้าที่ประกันหรืออู่ในเครือจะประเมินว่าการซ่อมรอบคันจำเป็นหรือไม่ หากเฉพาะจุดใด ๆ ต้องทำเพิ่มเติม หรือมีการซ่อมอะไหล่อื่น ๆ ร่วมด้วย
- ควรถามอู่หรือศูนย์บริการถึงค่าใช้จ่ายที่อาจเกินจากวงเงินหรือไม่ (เช่น เลือกสีพิเศษ)
- เข้ารับบริการซ่อม
- เลือกอู่ในเครือหรืออู่นอกเครือ (ขึ้นอยู่กับแผนประกัน) หากเป็นอู่นอกเครืออาจต้องจ่ายเงินก่อนและไปเคลมกับบริษัทภายหลัง
- ระยะเวลาซ่อมสีรถทั้งคันมักใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ หรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความซับซ้อน
- ตรวจรับรถ
- ตรวจสอบรายละเอียดความเรียบร้อยของสี รอบตัวถัง และจุดซ่อมอื่น ๆ ว่าตรงตามที่ตกลงไว้หรือไม่
- ถ้าเกิดปัญหาเกี่ยวกับสี หรือมีความไม่เรียบร้อย ต้องรีบแจ้งอู่ให้แก้ไขทันที
6. ข้อควรระวังในการเคลมสีรอบคัน
แม้การเคลมสีรอบคันจะดูเหมือนเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ขับขี่ เพราะได้ทำรถให้เหมือนใหม่ แต่ก็มีข้อควรระวังหลายประการ ดังนี้
- เบี้ยประกันอาจปรับขึ้นในปีถัดไป
- ทุกครั้งที่มีการเคลม บริษัทประกันมักจะนำข้อมูลไปประเมินความเสี่ยงในปีต่อไป ถ้าคุณมีประวัติการเคลมสูงหรือต่อเนื่อง เบี้ยประกันอาจขยับสูงขึ้นได้
- แม้จะเคลมแค่สี แต่ถ้าเป็นรอบคัน และมีการจ่ายค่าเสียหายมาก ก็มีแนวโน้มว่าคุณอาจไม่ได้รับส่วนลดประวัติดี (No Claim Bonus)
- การซ่อมมากครั้งอาจกระทบมูลค่ารถมือสอง
- ผู้ซื้อรถมือสองอาจตรวจสอบว่ารถมีการทำสีใหม่หลายจุดหรือไม่ หากพบว่ามีการพ่นสีทั้งคัน และมีหลักฐานว่าเคยเกิดอุบัติเหตุรุนแรง อาจส่งผลต่อมูลค่าขายต่อในอนาคต
- คุณภาพอู่ซ่อมและสีที่ใช้
- ไม่ใช่อู่ทุกแห่งจะมีมาตรฐานการพ่นสีเท่ากัน บางแห่งใช้น้ำยาหรือสีคุณภาพต่ำ ทำให้สีอาจหลุดล่อนในอนาคต หรือเกิดความไม่เนียน
- เลือกอู่ในเครือที่เชื่อถือได้ และสอบถามถึงการรับประกันผลงานซ่อม อาทิ รับประกัน 6 เดือน หรือ 1 ปี
- ตรวจสอบความคุ้มครองส่วนอื่น ๆ
- บางครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าซ่อมสี เช่น ค่าทดสอบระบบเครื่องยนต์ ค่าปรับตั้งตัวถัง หรือค่าอะไหล่อื่น ๆ ที่เสียหาย จะต้องดูว่าวงเงินประกันครอบคลุมถึงส่วนไหนบ้าง
7. ถ้ารอยเสียหายไม่มาก เคลมเฉพาะจุดดีไหม?
บางครั้งรถอาจมีรอยขีดข่วนจำนวนหนึ่ง แต่กระจายอยู่ทั่วทั้งคัน เจ้าของรถหลายคนจึงมองว่าถ้าเคลมสีรอบคันได้ก็คงดี เพราะซ่อมทีเดียวจบ แต่ในมุมของบริษัทประกัน อาจมองว่าไม่จำเป็นต้องพ่นสีทั้งคัน ถ้าสามารถซ่อมเฉพาะจุดได้
- หากรอยไม่หนัก หรือเป็นแค่รอยขนแมวบาง ๆ ควรพิจารณาขัดสี เคลือบแว็กซ์ หรือทำสปารถก่อน
- ถ้ารอยฝังลึกเฉพาะจุดที่ถูกชนหรือถูกขูด บริษัทประกันอาจอนุมัติแค่การพ่นสีเฉพาะบางบานประตู บางชิ้นส่วน ไม่ใช่ทั้งคัน
- ในกรณีที่บริษัทอนุมัติแต่คุณต้องการพ่นใหม่ทั้งคัน อาจต้องยอมจ่ายส่วนต่างเอง
ฉะนั้น หากความเสียหายไม่ใหญ่นัก ลองเช็กความเป็นไปได้ รวมถึงต้นทุนทั้งเรื่องค่าเบี้ยในอนาคตกับค่าซ่อมเอง อาจพบว่าการซ่อมเฉพาะจุดหรือนำไปขัดเคลือบอาจคุ้มค่ากว่าเคลมสีรอบคัน
8. สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) และ Excess
ในบางกรมธรรม์ โดยเฉพาะประกันชั้น 1 ราคาถูกหรือมีเงื่อนไขเฉพาะ อาจระบุเรื่องค่าเสียหายส่วนแรกเอาไว้ เช่น ถ้าคุณเกิดอุบัติเหตุเอง (ไม่มีคู่กรณี) คุณต้องจ่าย “Deductible” หรือ “Excess” จำนวนหนึ่งก่อน เช่น 2,000 หรือ 5,000 บาท แล้วค่อยให้บริษัทประกันออกส่วนที่เหลือ
- ดังนั้น หากคุณคิดจะเคลมสีรอบคันจากเหตุการณ์ที่ไม่มีคู่กรณีชัดเจน (เช่น มีคนขูดสีแล้วหนี ไม่มีหลักฐาน) คุณอาจต้องยอมเสียค่า Deductible ก่อน
- ถ้ารอยขีดข่วนมีน้อยมากหรือค่าซ่อมไม่ถึงหลักพัน ก็อาจไม่คุ้มที่จะเรียกเคลม เพราะต้องจ่าย Deductible มากกว่า
9. เคล็ดลับการดูแลรถให้สีสวยทนทาน
แม้ว่าการเคลมสีรอบคันจะเป็นทางออกเมื่อรถเกิดความเสียหายหนัก แต่การป้องกันไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนตั้งแต่แรกเป็นสิ่งที่ดีกว่าเสมอ นอกจากจะลดโอกาสการเคลมประกันแล้ว ยังช่วยรักษามูลค่ารถในระยะยาวอีกด้วย
- ล้างรถอย่างถูกวิธี
- ใช้ผ้าหรือฟองน้ำคุณภาพดี อย่าใช้ผ้าที่แข็งหรือมีฝุ่นทรายติด
- หลีกเลี่ยงการล้างรถกลางแดดจัด เพราะอาจเกิดรอยน้ำและคราบฝังแน่น
- เคลือบสีหรือเคลือบแก้ว
- ช่วยปกป้องผิวสีรถจากรอยขีดข่วนเล็ก ๆ และคราบต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
- แม้จะมีค่าใช้จ่าย แต่ช่วยให้สีรถดูเงางาม และทำความสะอาดง่าย
- จอดรถในที่ร่ม
- ลองหาที่จอดที่ปลอดภัยและห่างจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น ใต้ต้นไม้ใหญ่ (อาจมีลูกไม้หรือนกขับถ่ายลงมา) หรือบริเวณที่มีเด็กเล่นสเก็ตหรือขี่จักรยานผ่านตลอด
- หากต้องจอดกลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรหาผ้าคลุมรถที่ระบายอากาศได้ดี
- ระมัดระวังในการขับขี่และเลี้ยวโค้ง
- ควรประเมินระยะห่างจากสิ่งกีดขวาง มองกระจกข้างทุกครั้ง
- การขับอย่างมีสติเพื่อลดความเสี่ยงในการเฉี่ยวชนหรือครูดกำแพง
10. สรุป: “ประกันรถยนต์ เคลมสีรอบคัน” ทำได้ แต่ต้องรู้เงื่อนไข
“ประกันรถยนต์ เคลมสีรอบคัน” อาจเป็นความหวังของผู้ที่อยากให้รถกลับมาดูเหมือนใหม่ แต่ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเคลมได้ทุกกรณี บริษัทประกันจะพิจารณาตามความเหมาะสมและสาเหตุความเสียหาย หากเป็นเหตุการณ์เดียวที่ทำให้รถมีรอยทั่วทั้งคัน โอกาสเคลมสำเร็จก็มีสูง แต่ถ้าเป็นรอยเล็ก ๆ หลายเหตุการณ์สะสมหรือไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุที่เข้าข่ายความคุ้มครอง ก็ยากที่จะอนุมัติให้เคลมทั้งคัน
ปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึง
- ประเภทประกันที่มี: ประกันชั้น 1 คุ้มครองมากที่สุด หากเป็น 2+ หรือ 3+ อาจเคลมได้บางกรณี ส่วนประกันชั้น 3 แทบไม่มีโอกาสเคลมสีรถเราเอง
- ความเสียหายและหลักฐาน: ต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เดียว มีเอกสารหรือภาพยืนยันชัดเจน
- ผลกระทบต่อเบี้ยปีต่อไป: การเคลมสีรอบคันมักมีค่าใช้จ่ายสูง อาจกระทบถึงเบี้ยประกันในปีถัดไป
- ทางเลือกในการซ่อม: บางครั้งการซ่อมเฉพาะจุดอาจเหมาะสมและคุ้มค่ากว่า ทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
- คุณภาพของอู่และสี: ตรวจสอบชื่อเสียงอู่หรือศูนย์บริการ และสอบถามเรื่องการรับประกันงานซ่อม
สุดท้ายนี้ การจะตัดสินใจเคลมสีรอบคันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมูลค่าความเสียหายจริงว่าร้ายแรงเพียงใด และการประเมินความคุ้มค่าระหว่างสิทธิประโยชน์กับผลกระทบที่จะตามมา ทั้งเรื่องเบี้ยประกันและการเสียเวลาในการซ่อม
หากรอยขีดข่วนเพียงบางจุด หรือเป็นผลจากความประมาทเล็กน้อย บางครั้งอาจเลือกใช้บริการขัดสี เคลือบสี หรือซ่อมเฉพาะจุดแทนการเคลมสีรอบคันก็ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียประวัติดี (No Claim Bonus) และไม่ต้องกังวลว่าเบี้ยประกันจะพุ่งสูงในปีหน้า แต่ถ้ารถเกิดอุบัติเหตุใหญ่ หรือมีรอยเต็มคันจากเหตุการณ์เดียว แล้วคุณถือประกันชั้น 1 ก็อย่าลืมศึกษาขั้นตอนและเงื่อนไขให้ครบถ้วน ก่อนตัดสินใจทำเรื่องเคลม เพื่อให้ได้งานซ่อมที่ดีเยี่ยม และรักษาความสวยงามของรถคู่ใจได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
ด้วยความเข้าใจทั้งหมดนี้ หวังว่าผู้อ่านจะได้ข้อสรุปและแนวทางในการพิจารณาเมื่อเจอเหตุให้ต้อง “เคลมสีรอบคัน” พร้อมทั้งเลือกปฏิบัติอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ และไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ทั้งด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพงานซ่อม สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการป้องกันดีกว่าการซ่อมแซม ดังนั้นขับขี่ด้วยความระมัดระวังและดูแลรถอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นเคล็ดลับที่ดีที่สุดในการรักษาสภาพสีรถให้ใหม่สวยไปนาน ๆ โดยไม่ต้องพึ่งการเคลมรอบคันให้ยุ่งยากเลย.
#พริมพร้อมดูแลคุณแลคนที่คุณรัก “คุ้มครอง อุ่นใจ ห่วงใยคุณ”
.
ช่องทางการติดต่อ
• Tel : 086 359 6693
• LINE OA: @primbroker
• Website: https://priminsurance.co.th
.